การเข้าใจประเภทผิวของคุณและการเลือกครีมกันแดดที่เหมาะสม
ผิวมัน: สูตรที่เบาที่สุดและไม่อุดตันรูขุมขน
ผู้ที่มีผิวมันควรเลือกครีมกันแดดอย่างระมัดระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่น่ารำคาญ เช่น รูขุมขนอุดตัน และผิวมันเงาที่ทุกคนเกลียด ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าปราศจากน้ำมัน (oil-free) และมีเนื้อบางเบา โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าไม่ก่อให้เกิดสิว (non-comedogenic) เนื่องจากจะไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน สูตรเช่นนี้มีความสำคัญมาก เพราะสามารถควบคุมความมันบนผิวหนังได้ ขณะเดียวกันยังคงปกป้องผิวจากรังสี UV ที่เป็นอันตราย ควรเลือกส่วนผสม เช่น กรดซาลิไซลิก ซึ่งช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่อุดตันในรูขุมขน และไนอาซิโนมายด์ ซึ่งช่วยควบคุมความมันและทำให้สีผิวดูสม่ำเสมอขึ้น คนที่มีผิวมันควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นเจลหรือเนื้อฟลูอิดมากกว่าครีมที่มีเนื้อหนัก เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้สามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ดี รู้สึกเย็นสบายขณะทา และไม่ทิ้งคราบมันเหนอะหนะที่พบได้บ่อยในผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อเข้มข้น
ผิวแห้ง: ส่วนผสมที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นอย่างเต็มประสิทธิภาพ
ผิวแห้งต้องการการดูแลเป็นพิเศษเวลาเลือกครีมกันแดด เพราะสูตรทั่วไปไม่เพียงพอสำหรับการรักษาสมดุลความชุ่มชื้น สูตรที่เหมาะที่สุดคือสูตรที่มีเซราไมด์และกรดไฮยาลูรอนิก ซึ่งส่วนผสมเหล่านี้จะทำงานร่วมกันเพื่อซ่อมแซมเกราะป้องกันผิวที่เสียหาย และรักษาความชื้นไว้ภายในเซลล์ผิวหนัง อย่าลืมถึงอีเมลเลียนต์ (emollients) และสารกันน้ำ (occlusives) เช่นกัน! สารเหล่านี้จะช่วยทำให้ผิวขรุขระเรียบเนียน และป้องกันการสูญเสียความชื้นที่สำคัญไว้ไม่ให้ระเหยออกไปเร็วเกินไป สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก ครีมกันแดดประเภทเนื้อครีมที่อุดมไปด้วยสารบำรุงเช่น เนยชีบัตเตอร์ (shea butter) หรือน้ำมันพืช มักจะเป็นทางเลือกที่เปลี่ยนแปลงเกมได้ มันจะก่อตัวเป็นเกราะป้องกันที่อ่อนโยนบนพื้นผิวผิว พร้อมทั้งมอบความชุ่มชื้นที่ผิวขาดแคลน ครีมกันแดดที่มีเนื้อหนาและครีมมี่ พร้อมส่วนผสมที่ช่วยเติมความชื้น จะช่วยปกป้องจากรังสี UV โดยไม่ทำให้ความชื้นที่มีอยู่หลงเหลืออยู่น้อยลง ช่วยให้ผิวนุ่มและดูอ่อนเยาว์ได้ยาวนาน
ผิวผสม: การสมดุลการปกป้องโดยไม่ทำให้เหนียวเหนอะหนะ
การดูแลผิวผสมสามารถเป็นเรื่องที่ท้าทายได้ เนื่องจากเราต้องพยายามควบคุมความมันบนบริเวณทีโซนไม่ให้เงา ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาความชุ่มชื้นบนพวงแก้มไม่ให้แห้งกร้านไปด้วย เมื่อเวลาเลือกซื้อกันแดด ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นแต่ไม่ทิ้งคราบมันไว้เบื้องหลัง ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ สูตรที่มีเนื้อบางเบาและไม่เหนียวเหนอะหนะ หรือครีมบำรุงผิวผสมสี (tinted moisturizers) ที่มีค่า SPF ในตัว สูตรเหล่านี้สามารถเกลี่ยได้อย่างทั่วถึงบนใบหน้าโดยไม่ทำให้บางส่วนดูซีดจางในขณะที่ส่วนอื่นยังคงได้รับการปกป้องอยู่ ขั้นตอนที่ดีมักจะเริ่มต้นด้วยการทาเซรั่มบำรุงผิวที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นเฉพาะจุดที่ต้องการมากที่สุด อย่างพวงแก้มและหน้าผาก จากนั้นจึงตามด้วยครีมกันแดดที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีผิวผสมแบบนี้ วิธีนี้จะช่วยให้ทุกส่วนได้รับการปกป้องอย่างเหมาะสม โดยไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งรู้สึกมันเยิ้มหรือขาดการดูแลเลย
ผิวแพ้ง่าย: ตัวเลือกที่ไม่มีกลิ่นและลดโอกาสแพ้
ผู้ที่มีผิวบอบบางต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนเป็นพิเศษ ดังนั้นผลิตภัณฑ์กันแดดที่ปราศจากน้ำหอมและสารก่อการระคายเคืองจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง หากต้องการป้องกันการระคายเคืองควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์หรือสารเคมีที่มีฤทธิ์รุนแรงซึ่งมักจะทำให้สภาพผิวที่บอบบางแย่ลง ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีส่วนผสมหลักเช่นสังกะสีออกไซด์ (zinc oxide) ซึ่งให้การปกป้องจากรังสี UV ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาความไวต่อสาร บางแบรนด์ยังมีส่วนผสมของว่านหางจระเข้ (aloe vera) หรือสารบำรุงอื่นๆ ที่ช่วยปลอบประโลมผิวหลังการเผชิญแสงแดด สำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง ผลิตภัณฑ์กันแดดที่เป็นแบบแร่นั้นเหมาะที่สุด เนื่องจากจะสร้างเกราะป้องกันบนผิวหนังชั้นนอกแทนที่จะถูกดูดซึมเข้าไปในผิว ลดโอกาสการเกิดปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์ขณะใช้ชีวิตกลางแจ้ง
การเลือก SPF ที่เหมาะสมสำหรับการป้องกันสูงสุด
คำอธิบายเกี่ยวกับค่า SPF: การป้องกัน UVA เทียบกับ UVB
การเข้าใจตัวเลข SPF มีความสำคัญอย่างมากเมื่อพูดถึงการปกป้องผิวของเราอย่างเหมาะสม กันแดดที่ระบุว่าเป็น broad spectrum จะช่วยป้องกันทั้งรังสี UVA และ UVB ซึ่งแต่ละชนิดมีผลต่อผิวแตกต่างกัน รังสี UVA สามารถทะลุลึกเข้าไปในชั้นผิวได้มาก ทำให้เกิดริ้วรอยและจุดแสดงออกแห่งวัยก่อนวัยอย่างน่ารำคาญ ส่วนรังสี UVB เป็นสาเหตุหลักของอาการแดดเผาที่เจ็บปวด และส่งผลต่อชั้นผิวชั้นนอกเป็นส่วนใหญ่ SPF หมายถึงอะไรกันแน่ ตัวเลขนี้บ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVB โดยเฉพาะ ตัวอย่างเช่น SPF 15 สามารถป้องกันรังสี UVB ได้ประมาณ 93% เมื่อเพิ่มเป็น SPF 30 จะได้การป้องกันถึง 97% และ SPF 50 สามารถป้องกันได้ราวๆ 98% สถิติของโรคมะเร็งผิวหนังยืนยันว่าการปกป้องผิวให้ครบถ้วนมีความสำคัญเพียงใด การที่ผู้คนใช้ครีมกันแดดอย่างถูกต้องพร้อมระดับ SPF ที่เหมาะสม จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งผิวหนังได้อย่างมีนัยสำคัญ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แบบ broad spectrum จึงสมเหตุสมผล เนื่องจากช่วยปกป้องรังสีทั้งสองชนิด ช่วยป้องกันความเสียหายของผิวในระยะยาวและปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้อง
SPF 30 กับ SPF 50: การเลือกให้เหมาะกับความไวต่อแสงของผิวคุณ
การเลือกระหว่าง SPF 30 กับ SPF 50 ไม่ใช่แค่การเลือกตัวเลข แต่เป็นการเข้าใจว่าตัวเลขเหล่านี้หมายถึงอะไรในการปกป้องผิวจริงในชีวิตประจำวัน SPF 30 สามารถบล็อกรังสี UVB ได้ประมาณ 93% ในขณะที่ SPF 50 สามารถบล็อกได้ประมาณ 98% ดังนั้น 5% ที่เพิ่มขึ้นมานั้นส่งผลอย่างมาก โดยเฉพาะกับผู้ที่มีผิวบอบบางหรือวางแผนใช้เวลานานภายนอกอาคาร ผู้ที่มีผิวขาวมักเผาไหม้จากแสงแดดได้เร็วกว่าผู้ที่มีผิวคล้ำ และผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรย่อมต้องการการปกป้องที่เข้มข้นกว่าผู้ที่อยู่ในละติจูดทางเหนือ ส่วนใหญ่แล้ว แพทย์ผิวหนังมักแนะนำค่า SPF ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละบุคคล บุคคลที่มีกระและทำงานภายนอกอาคารอาจต้องการค่า SPF สูงกว่าคนที่ไปทะเลเพียงแค่ช่วงสุดสัปดาห์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผิวเน้นถึงความสำคัญในการหาสมดุลที่เหมาะสมระหว่างการปกป้องที่เพียงพอและการใช้งานจริง เพราะไม่มีใครต้องการรู้สึกมันเยิ้มหรือเหนียวเหนอะหนะหลังจากการทาครีมกันแดด
ควรใช้ครีมกันแดดมากแค่ไหนสำหรับการปกปิดทั่วร่างกาย
การใช้ครีมกันแดดให้ได้ปริมาณที่เหมาะสมมีความสำคัญมาก หากเราต้องการให้ผิวทั่วร่างกายได้รับการปกป้องจากรังสี UV โดยทั่วไปแล้วแพทย์ผิวหนังมักแนะนำให้ใช้ครีมกันแดดประมาณ 1 ออนซ์ (ซึ่งเทียบได้กับปริมาณที่ใส่ในแก้ววัดแบบ Shot glass มาตรฐาน) เพื่อให้ผิวที่สัมผัสแสงแดดได้รับการทาครีมอย่างทั่วถึง หลายคนมักลืมทาครีมบริเวณที่เข้าถึงยาก เช่น ใบหู ด้านหลังของคอ หรือแม้แต่เท้า อย่าลืมเติมครีมใหม่ทุกๆ 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะหลังจากว่ายน้ำหรือออกกำลังกายจนเหงื่อออกมาก สำหรับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หลายคนพบว่าเนื้อครีมหรือโลชั่นแบบข้นเหมาะสำหรับบริเวณผิวที่แห้ง ในขณะที่สเปรย์หรือเจลจะเหมาะกว่าสำหรับบริเวณที่มีขนดกหนา ซึ่งครีมอาจทาให้ทั่วถึงได้ยาก การใช้ครีมกันแดดเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรในตอนเช้า ร่วมกับมอยส์เจอไรเซอร์และเครื่องสำอาง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันผิวและรักษาเกราะป้องกันตามธรรมชาติของผิวไว้ได้ ปฏิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ โอกาสที่สุขภาพผิวในระยะยาวจะยังคงดีแม้ต้องใช้เวลานานในการอยู่กลางแจ้ง
วิธีแก้ปัญหาครีมกันแดดสำหรับผิวที่มีแนวโน้มเป็นสิว
หลีกเลี่ยงส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขน
ผู้ที่มีปัญหาสิวควรระมัดระวังในการเลือกครีมกันแดด เนื่องจากส่วนผสมบางอย่างอาจทำให้สิวแย่ลงได้ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าเป็น non-comedogenic เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้ถูกผลิตขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการก่อให้เกิดการอุดตัน โดยจะไม่ใช้ส่วนผสมที่มีลักษณะมันเยิ้ม เช่น กรดไอโซโพรพิลพาล์มิเทต (isopropyl palmitate) ปิโตรเลียมเจลลี่ (petrolatum) และสารลานอลิน (lanolin) ที่มักจะตกค้างบนผิวหนัง ทางเลือกที่ดีกว่ามักจะมีส่วนผสมที่อ่อนโยนกว่า เช่น ออกไซด์สังกะสี (zinc oxide) หรือไทเทเนียมไดออกไซด์ (titanium dioxide) ส่วนผสมเหล่านี้สามารถบล็อกรังสีอัลตราไวโอเลตที่เป็นอันตราย และช่วยให้ผิวหน้าดูใสขึ้น เมื่อเวลาไปเลือกซื้อครีมกันแดด ควรใช้เวลาในการอ่านฉลากด้านหลังขวด แบรนด์ต่างๆ เช่น ลา โรช-โพเซย์ (La Roche-Posay) และเซตาฟิล (Cetaphil) มีชื่อเสียงจากการผลิตครีมกันแดดที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาผิวสำหรับผู้ที่มีสภาพผิวบอบบาง ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังส่วนใหญ่แนะนำว่า ผู้ที่มีปัญหาผิวควรตรวจสอบฉลากของผลิตภัณฑ์ก่อนตัดสินใจซื้อของใหม่เสมอ ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีใครอยากให้เกิดสิวเพิ่มเติมเพียงเพราะพยายามปกป้องผิวจากรังสีดวงอาทิตย์
สูตรเจลและแร่เพื่อป้องกันสิว
สำหรับผู้ที่มีปัญหาสิว ครีมกันแดดประเภทเจลและครีมกันแดดแร่จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า โดยทั่วไปเนื้อสัมผัสดี เบาสบายผิว มีคุณสมบัติช่วยทำให้เย็น และจะไม่ทิ้งคราบมันเหนอะหนะไว้เบื้องหลัง จึงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่มีผิวมันหรือผู้ที่เป็นสิวง่าย ครีมกันแดดประเภทแร่โดยปกติจะมีส่วนผสมของสังกะสีออกไซด์และไทเทเนียมไดออกไซด์ ซึ่งให้การปกป้องรังสี UVA และ UVB ได้ดี โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวหรือทำให้เกิดรอยแดง จุดเด่นของแร่เหล่านี้คือความสามารถในการบล็อกแสงแดดโดยตรงแทนที่จะดูดซับ ผู้ใช้ส่วนใหญ่พบว่าไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ใด ๆ ด้วย ซึ่งหมายความว่าโอกาสที่จะเกิดรอยแดงระคายเคืองหลังจากอยู่กลางแจ้งจะลดน้อยลง ก่อนที่จะซื้อขนาดใหญ่จุใจ ควรทดลองซื้อขนาดทดลองใช้ก่อน ใช้ลองทาดูสักสองสามวันเพื่อสังเกตการตอบสนองของผิว ขั้นตอนง่าย ๆ นี้จะช่วยลดความหงุดหงิดในอนาคต ที่อาจเกิดขึ้นจากการพยายามหาสาเหตุว่าสิ่งใดเป็นตัวก่อให้เกิดสิวที่ไม่คาดคิด
การทาครีมกันแดดพร้อมกับการรักษาสิว
การทาครีมกันแดดพร้อมกับการรักษารอยสิวเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความชัดเจนของผิวขณะที่ยังคงการป้องกันแสงแดด ปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้เพื่อชั้นทับซ้อนอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ลดประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ใดผลิตภัณฑ์หนึ่ง:
- ทำความสะอาด: ใช้คลีนเซอร์ที่อ่อนโยนเพื่อกำจัดสิ่งสกปรกและเตรียมผิว
- การรักษาสิว: ทาการรักษาสิวตามที่แพทย์สั่งหรือยาทาภายนอก แล้วปล่อยให้แห้งสนิท
- ครีมบำรุงผิว: ต่อไปใช้ครีมบำรุงผิวที่ปราศจากน้ำมันและไม่อุดตันรูขุมขนเพื่อคงความชุ่มชื้นของผิว
- การทาครีมกันแดด: จบด้วยการใช้ครีมกันแดดที่ปกป้องรังสี UV แบบกว้าง โดยควรเลือกชนิดที่เป็นแร่ธาตุเพื่อป้องกันความเสียหายจากแสง UV
หลีกเลี่ยงครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของ แอลกอฮอล์ และสารก่อการระคายเคืองอื่น ๆ ที่อาจทำปฏิกิริยากับการรักษาสิว ตามคำกล่าวของแพทย์ผิวหนัง การใช้เทคนิคการทาผลิตภัณฑ์อย่างเหมาะสมจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาผิวให้ใสอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลตที่เป็นอันตราย ซึ่งทำให้การใช้เทคนิคนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อกลยุทธ์การป้องกันสิวและการปกป้องแสงแดดที่มีประสิทธิภาพ
วิธีที่รังสี UV ส่งเสริมการเสื่อมสภาพของผิว
การเผชิญกับแสง UV จริงๆ แล้วเร่งกระบวนการแก่ของผิวเรา ทำให้เราดูแก่กว่าอายุที่แท้จริง เช่น เกิดริ้วรอย จุดด่างดำ และผิวเริ่มสูญเสียความกระชับ จากสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ทราบ รังสี UVA และ UVB สามารถทะลุผิวหนังเข้าไปได้ โดยเฉพาะรังสี UVA ที่ทะลุลึกกว่าและก่อให้เกิดความเสียหายที่รุนแรงยิ่งขึ้น งานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่า ประมาณ 90% ของลักษณะแสดงความแก่ที่เห็นได้บนใบหน้าเกิดจากการได้รับแสงแดดมากเกินไป การทาครีมกันแดดเป็นประจำสามารถช่วยเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าเป็น broad spectrum เนื่องจากสามารถป้องกันรังสีอันตรายทั้งสองชนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ แพทย์ผิวหนังส่วนใหญ่มักแนะนำให้ผู้ป่วยใช้ครีมกันแดดทุกวัน เพราะช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ได้นานขึ้น หลายคนพบว่าขั้นตอนง่ายๆ นี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรตอนเช้า คล้ายกับการแปรงฟันหรือล้างหน้า
การปกป้องแบบ Broad-Spectrum พร้อมสารต้านอนุมูลอิสระ
การเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระเข้าไปในสูตรของครีมกันแดดจะช่วยให้ครีมกันแดดทำงานได้ดีขึ้นในการปกป้องผิว และยังส่งเสริมสุขภาพผิวโดยรวมอีกด้วย วิตามินซีและวิตามินอีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบได้ทั่วไป ซึ่งทำงานร่วมกับครีมกันแดดทั่วไปเพื่อต่อสู้กับอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นเมื่อผิวสัมผัสกับแสงแดด งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า ครีมกันแดดที่อุดมไปด้วยส่วนผสมที่มีประโยชน์เหล่านี้สามารถลดความเครียดจากออกซิเดชัน ซึ่งหมายถึงการชะลอการเกิดริ้วรอยและความเสื่อมของผิวที่มองเห็นได้ตามวัย ขณะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าเป็น broad spectrum และมีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระด้วย ครีมกันแดดประเภทนี้จะช่วยปกป้องจากรังสี UVA และ UVB ทั้งสองชนิด พร้อมทั้งช่วยต่อต้านอนุภาคความมลพิษในอากาศที่เร่งกระบวนการแก่ของผิวตามธรรมชาติ
การใส่ครีมกันแดดเข้าไว้ในกิจวัตรยามเช้าของคุณ
การเริ่มต้นสร้างนิสัยในการใช้ครีมกันแดดทุกเช้าสามารถสร้างความแตกต่างอย่างมากในการรักษาสุขภาพผิวของเราให้ดีขึ้นในระยะยาว เริ่มต้นวันใหม่ให้ถูกต้องด้วยการล้างหน้าเป็นกิจวัตรในตอนเช้า จากนั้นทาครีมบำรุงผิวที่ดีสักหน่อยก่อนหยิบขวดกันแดดขึ้นมา หาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติกันแดดได้ทั้ง UVA และ UVB (Broad Spectrum) ที่มีค่า SPF อย่างน้อย 30 และตรวจสอบให้แน่ใจว่าทาให้ทั่วตั้งแต่บริเวณคอขึ้นไปรวมถึงใบหูและมือในกรณีที่ต้องอยู่กลางแจ้ง วิธีที่ได้ผลคือการทำให้กันแดดทำงานร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เราใช้ทาหน้าควบคู่กันไปด้วย การผสมครีมกันแดดเข้ากับครีมบำรุงผิวปกติ หรือการทาครีมกันแดดก่อนเครื่องสำอางเบาๆ มักจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการทาทับกันแบบแยกชั้น อย่าลืมใช้กันแดดในวันที่ท้องฟ้ามืดครึ้มด้วย เพราะความเสียหายจากรังสียูวีสามารถเกิดขึ้นได้แม้มีเมฆครึ้มอยู่บนฟ้า การทำให้ครีมกันแดดเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันไม่ใช่แค่เรื่องฉลาด แต่แทบจะเป็นสิ่งจำเป็นในปัจจุบัน หากใครก็ตามที่ยังต้องการให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์และมีชีวิตชีวาไปอีกหลายปี